พระสมุทรเจดีย์ ,ป้อมพระจุลจอมเกล้า หรือ ป้อมพระจุล,พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ,ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง,พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ,สถานตากอากาศบางปู,ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง และอีกมากมาย 108 ค่ะ
.... แต่ในวันนี้ sudsai จะขอพาเพื่อนๆมาที่ เมืองโบราณ กันก่อนแล้วกันนะค่ะ ก่อนที่เราจะไปสัมผัสบรรยากาศในเมืองโบราณเรามารู้ประวัติคร่าวๆๆของที่นี่กันนิดนึงนะค่ะเมืองโบราณ ตั้งอยู่ในเขตตำบลบางปูใหม่ บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 33 ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ห่างจากตัวจังหวัด 8 กิโลเมตร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รวบรวมสถานที่สำคัญ ๆ ในประเทศ มีพื้นที่ประมาณ 800 ไร่ เริ่มก่อสร้างเมื่อปลายปี 2506 ปูชนียสถานที่สำคัญๆ เช่น เขาพระวิหาร ปราสาทหินพนมรุ้ง วัดมหาธาตุสุโขทัย พระพุทธบาทสระบุรี พระธาตุเมืองนคร พระธาตุไชยา ฯลฯ โดยสร้างให้มีขนาดเล็กลง บางแห่งเท่าแบบจริงการสร้าง ฝีมือประณีต นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งรวบรวมศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน ที่นับวันจะสูญหายไปจากสังคมยุคใหม่ ผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของประเทศไทย จะศึกษาได้จากเมืองโบราณแห่งนี้
เล่าไปซะยืดยาว เราก็มาถึงเมืองโบราณกันแล้วค่ะ ขอถ่ายรูปกับประตูทางเข้าว่าเรามาถึงแล้วเอาไว้ซะหน่อยนะค่ะ
เราเดินเข้ามาถึงเราก็รีบไปซื้อตั๋วกันเลย ราคาตั๋วที่นี่
- ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป (คนไทย)
- บัตรสยามพลัส (คนไทย) ***
- เลือกเที่ยวชมโดยรถรางหรือเที่ยวชมโดยจักรยาน (ตั้งแต่เวลา 8.00 - 17.00 น.)
- บัตรสยามพลัสผู้ใหญ่ ท่านละ ๒๐๐ บาท (จักรยานเท่านั้น)
- บัตรสยามพลัสเด็ก ท่านละ ๑๐๐ บาท (จักรยานเท่านั้น)
- บัตรสยามพลัสผู้ใหญ่ ท่านละ ๒๕๐ บาท (จักรยาน/รถราง)
- บัตรสยามพลัสเด็ก ท่านละ ๑๕๐ บาท (จักรยาน/รถราง)
- บัตร ๖๐ ปี
- สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน ๖๐ ปี โปรดแสดงบัตรประชาชน
- (เหลือท่านละ ๑๐๐ บาท/จักยานเท่านั้น)
- (เหลือท่านละ ๑๕๐ บาท/จักยาน/รถราง)
- บัตรคนปากน้ำ
- แสดงบัตรประชาชนสมุทรปราการลดทันที
- (เหลือท่านละ ๑๐๐ บาท/จักรยานเท่านั้น)
- (เหลือท่านละ ๑๕๐ บาท/จักรยาน/รถราง)
- ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป (ชาวต่างประเทศ )
- ผู้ใหญ่ ท่านละ ๔๐๐ บาท
- เด็ก ท่านละ ๒๐๐ บาท
- บริการมัคคุเทศก์นำชมส่วนตัว
- บรรยายภาษาไทย +๑,๒๐๐ บาท (๒ ชม.)
- บรรยายภาษาอังกฤษ +๑,๕๐๐ บาท (๒ ชม.)
- นำรถยนต์ส่วนบุคคล/รถตู้ เข้าไป (ไม่รวมคนขับ)
- คันละ ๓๐๐ บาท
- ***หมายเหตุ
- บัตรสยามพลัส +
- สามารถใช้บริการได้ดังนี้
- + จักรยาน บัตร 1 ใบ สำหรับ 1 ท่าน
- + รถรางชมเมือง (พร้อมรถกอล์ฟรับ-ส่ง จากหน้าเมืองถึงตลาดน้ำ)
- เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ - วันเสาร์ ตามรอบที่กำหนดดังนี้
- รอบที่ 1 08.00 - 10.00 น.
- รอบที่ 2 10.00 - 12.00 น.
- รอบที่ 3 13.00 - 15.00 น.
- รอบที่ 4 15.00 - 17.00 น.
- + รถรางสายรอบเมือง
- เปิดให้บริการทุกวันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
- ตั้งแต่เวลา 8.00 - 17.00 น.
- สามารถขึ้นได้ทุกคันตามสถานีรถรางรอบเมือง ภายในเมืองโบราณ
- หมายเหตุ สามารถขึ้นรถรางชมเมืองได้ที่ตลาดน้ำ(ร้านริมน้ำ)
- ตามรอบและเวลาที่กำหนด ไม่สามารถขึ้นระหว่างทางได้
- หากตารางเวลาการเข้าชมมีการเปลี่ยนแปลง เจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ทราบก่อนเข้าชม
- นักเรียน-นักศึกษาเป็นหมู่คณะ
- อนุบาล-มัธยมศึกษาตอนต้น คนละ 100 บาท
- มัธยมศึกษาตอนปลาย-อุดมศึกษา คนละ 200 บาท
- ผู้ปกครอง คนละ 200 บาท
- หมายเหตุ : อัตรานี้รวม
- - บัตรเข้าชมเมืองโบราณ
- - รถรางนำชมเมืองโบราณ
เราเลือกเช่าจักรยาน เพื่อที่จะได้ปั่นไปรอบๆ ได้บรรยากาศมากกว่านั่งรถราง หรือรถกอล์ฟ มากเลยค่ะ ค่าเช่าก็ไม่แพงค่ะ แค่คันละ 50 บาทเท่านั้นเอง
โอ้โห ! มีตั้งเป็นร้อยกว่าจุดแหนะ สงสัยวันนี้เราจะน่องโป่งแน่ๆๆ เราเริ่มปั่นจักรยานจากด้านหน้าตรงจุดบริการเช่าจักรยานไปตามในแผนที่เรื่อยๆ จะเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมนะคร่ะ
ผ่านประตูเข้ามาแล้วก็จะมาเจอกัน สวนอิเหนา ที่ทำเป็นรูปปูนปั้นของ อิเหนา กับ บุษบา ตัวเอกของเรื่อง
นี่ก็คือ หอระฆัง ซึ่งในสมัยโบราณนิยมสร้างหอพระไตรปิฎกเป็นหอสูง ไว้กลางสระน้ำเพื่อป้องกันอันตรายจากมดปลวก และไฟปัจจุบันหอไตรแบบนี้นับวันจะหาดูได้ยากยิ่ง
ตลาดโบราณ หรือตลาดบกแสดงลักษณะของชุมชนเมืองใ นอดีตภายในตลาดมีร้านต่างๆ ทั้งร้านขายสิ่งของจำเป็น ร้านให้การบริการต่างๆ แหล่งมหรสพแหล่งอบายมุขรวมทั้งศาลเจ้า และที่สิงสถิตของเจ้าที่เจ้าทางซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธา ของผู้คนในชุมชนอาคารบ้านเรือนในตลาดโบราณแห่งนี้ได้แรงบันดาลใจ มาจากถนนสายเก่าในจังหวัดตากผสมผสานกับบ้านเรือน และร้านค้าที่ถนนในเมืองกำแพงเพชร โดยเมืองโบราณนำอาคารบ้านเรือน ย่านเก่าในกรุงเทพฯแถบยานนาวามาปลูกสร้างขึ้น
ศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม เพชรบุรี
ศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม หรือตำหนักพระเจ้าเสือ เดิมเป็นพระตำหนักอยู่ในพระบรมมหาราชวังกรุงศรีอยุธยา ต่อมาสมเด็จพระเจ้าเสือโปรดเกล้าฯ ถวายให้สมเด็จพระสุวรรณมุนี (สมเด็จเจ้าแตงโม) พระสังฆราชแห่งกรุงศรีอยุธยาสมัยนั้นซึ่งเป็นชาวเพชรบุรี พระตำหนักนี้จึงถูกนำมาไว้ที่วัดเดิมซึ่งท่านเคยอาศัยเล่าเรียนอยู่
พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ราชบุรี
พระปรางค์องค์นี้ตั้งอยู่ในวัดมหาธาตุต. หลุมดิน อ. เมืองราชบุรีเป็นพุทธสถานนิกายมหายานองค์ปรางค์ก่อด้วยอิฐ ฐานก่อด้วยศิลาแลงศิลปะลพบุรีสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ แต่มีการซ่อมแซมและสร้างเพิ่มเติมในสมัยหลัง เมืองโบราณได้สร้างพระปรางค์นี้ขึ้น โดยย่อจากขนาดจริงมาเป็นสามในสี่ส่วน
ปราสาทหินพนมรุ้ง บุรีรัมย์
ปราสาทหินพนมรุ้ง อยู่ใน อ. เฉลิมพระเกียรติ จ. บุรีรัมย์ เป็นปราสาทหินบนเขาขนาดใหญ่ที่สุดในดินแดนไทย ตั้งอยู่บริเวณปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย สร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนามหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นพุทธสถานลัทธิมหายาน
ปราสาทพระวิหาร ศรีสะเกษ
ปราสาทพระวิหาร เป็นศาสนสถานในคติฮินดูลัทธิไศวนิกาย ตั้งอยู่บนยอดเขาพระวิหาร ในเขตเทือกเขาพนมดงรักซึ่งกั้นแดนไทย-กัมพูชาจ. ศรีสะเกษ ปราสาทนี้สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ แห่ง เมืองพระนคร ประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ มีปราสาทตั้งเรียงรายอยู่สี่ระดับ เริ่มตั้งแต่ทางลาดต่ำเชิงเขาขึ้นไปจนถึงสุดผาชัน โดยชั้นสูงสุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่ประดิษฐานศิวลึงค์ รูปเคารพสำคัญ สัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ ปลายสุดของหน้าผามีชะง่อนหิน ใต้ชะง่อนหินเป็นเพิงเรียกว่าเป้ยตาดี ปัจจุบันปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนของประเทศกัมพูชา แต่โดยสภาพภูมิศาสตร์ปราสาทพระวิหารมีทางขึ้นจากทางฝั่งไทย
ปล. ถ้าขึ้นไปบนสุดจะเห็นวิวทั้งหมดของเมืองโบราณด้วยจ๊ะ
ผาแดงนางไอ่
เมืองโบราณ ได้สร้างประติมากรรมจากเรื่อง ผาแดงนางไอ่ นิทานในท้องถิ่นอีสาน ที่มีเรื่องราวว่า ท้าวผาแดงรักอยู่กับสาวงามนามนางไอ่ และเจ้าชายพญานาคเป็นอีกผู้หนึ่งที่หลงรักนาง ถึงแม้ว่าเจ้าชายพยายามเอาใจนางอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้นางเปลี่ยนใจจากท้าวผาแดง พญานาคแค้นใจ จึงออกอุบายโดยแปลงกายเป็นกระรอกเผือกมาล่อ นางไอ่เห็นกระรอกก็อยากได้ ท้าวผาแดงจึงเอาหน้าไม้ยิงถูกกระรอกเผือกตายแล้วแล่เนื้อมากิน แต่ยิ่งแล่เนื้อกระรอกก็ยิ่งมากขึ้น ผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงรู้ข่าว ได้เอาเกวียนมาขนเนื้อก็ยังไม่หมด จากนั้นได้เกิดพายุฝนกระหน่ำ ท้าวผาแดงสังหรณ์ใจว่าคงไม่ใช่พายุธรรมดา จึงรีบพานางไอ่ขึ้นม้าหนี แต่นางไอ่พลัดตกม้ากลางพายุจมหายไปพร้อมบ้านเมือง ซึ่งกลายเป็นเวิ้งน้ำใหญ่ ส่วนวิญญาณกระรอกกลับกลายเป็นพญานาคมารับนางไอ่ไป บ้านเมืองใดที่ไม่ได้กินเนื้อกระรอกก็รอดพ้นวิบัติ
พิพิธภัณฑ์ชาวนา
พิพิธภัณฑ์ชาวนา ในเมืองโบราณ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่รวบรวมเรื่องชาติพันธุ์วิทยา และสรรพสิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้จากทุกภูมิภาคของไทย หมู่บ้านไทยที่อยู่ทางภาคตะวันออกของเมืองโบราณ ทั้งบริเวณถูกกำหนดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ชาวนา จัดแสดงประดิษฐกรรมเครื่องมือ เครื่องใช้ ที่คนไทยคิดค้นขึ้นด้วยภูมิปัญญา เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม สิ่งของที่รวบรวมเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีมากมายเช่น เครื่องมือทำนา เครื่องมือทำน้ำตาล เตาเผาเครื่องเคลือบ เครื่องมือดักสัตว์บก เครื่องมือจับปลา เครื่องมือทอผ้าเครื่องดนตรี ตลอดจนยวดยานพาหนะทั้งทางบกและทางน้ำ ที่ทำให้เราเข้าใจถึงวิถีชีวิต ของผู้คนในอดีตผ่านสิ่งของเครื่องใช้เหล่านี้
หอคำ ลำปาง
เมืองโบราณ ได้สร้างหอคำโดยอาศัยลักษณะที่ปรากฏในรูปถ่าย ใช้ไม้ใหญ่ตามลักษณะจริงที่ได้รับการบอกเล่าของผู้ที่เชื่อถือได้ หอคำ เป็นภาษาเหนือ แปลว่าหอทองคำหรือปราสาททอง เป็นที่อยู่ของเจ้าผู้ครองนครลำปาง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ลักษณะเป็นเรือนไม้เครื่องสับของภาคเหนือ ใต้ถุนสูง ของจริงนั้นได้ถูกรื้อลงเมื่อประมาณ ๓๐-๔๐ ปี มาแล้วตลาดน้ำ
ตลาดน้ำเมืองโบราณ คือภาพสะท้อนย่านชุมชนริมน้ำของสังคมสยามในอดีต ที่ใช้แม่น้ำเป็นเส้นทางสร้างสัมพันธ์ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม สภาพภายในตลาดน้ำ ยังมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนา ของผู้คนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกันด้วยความสงบสุข ทั้งวัดทางพุทธศาสนา โบสถ์พระคริสต์ มัสยิดของชาวมุสลิม และศาลเจ้าจีน รวมทั้งศาลผีประจำท้องถิ่น
อนุสรณ์สถานชาวบ้านบางระจัน
สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย กองทัพพม่ายกทัพตีอยุธยา และปล้นสะดมข่มเหงคนไทย ทำให้ชาวเมืองสิงห์บุรีโกรธแค้น รวมตัวกันต่อสู้กับทหารพม่าจนเกิดเป็นค่ายบางระจัน มีนายแท่น นายเมือง นายโชติ นายอิน นายดอก นายแก้ว ขุนสรรค์ พันเรือง นายทองเหม็น นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายทองแสงใหญ่ เป็นหัวหน้าค่ายบางระจัน
ชาวบ้านบางระจันได้สู้รบกับกองทัพพม่าหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายพม่าใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม ชาวบางระจันไม่มีปืนใหญ่ จึงร่วมแรงร่วมใจกันหล่อปืนใหญ่เอง แต่ก็ใช้ไม่ได้แม้ชาวบ้านจะเสียขวัญและกำลังใจ ทว่าชาวบ้านบางระจันยังคงต่อสู้กับพม่า จนในที่สุดค่ายบางระจันก็ถูกทำลายเมื่อวันจันทร์ เดือน ๘ แรม ๒ ค่ำ พ.ศ.๒๓๐๙ รวมเวลาที่รบกับพม่านานถึง ๕ เดือน
แม้ค่ายบางระจันจะถูกกองทัพพม่าทำลาย แต่ภาพของบรรดาผู้กล้ารวมทั้งชาวบ้านทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ คนแก่ ที่สู้ตายเพื่อรักษาบ้านเมืองของตน เป็นวีรกรรมของชุมชนที่ยิ่งใหญ่ ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย
พระปรางค์สามยอด ลพบุรี
พระปรางค์สามยอด ตั้งอยู่กลางเมืองลพบุรีสร้างด้วยศิลาแลง อิทธิพลศิลปะขอม เรียกกันว่าศิลปะแบบลพบุรีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนานิกายมหายาน ภายนอกประดับด้วยลายปูนปั้น และลายจำหลักหินทรายในส่วนกรอบประตูเสา บัว ภายในพระปรางค์องค์กลาง ประดิษฐานพระอาทิพุทธเจ้าส่วนพระปรางค์องค์ขวา และซ้ายเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตาตามลำดับ
พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น เป็นพระที่นั่งที่รวมความเป็นเอกลักษณ์ของอยุธยาเข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ฐาน เสา ลวดลายประดับ ซุ้มพระทวาร พระบัญชร หลังคา และเครื่องยอด พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีและรับแขกเมืองของพระมหากษัตริย์ ต่อมาเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่๒พ.ศ.๒๓๑๐ พระที่นั่งองค์นี้ถูกพม่าเผาเหลือแต่ซากฐาน
เมืองโบราณได้สร้างพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทขึ้น โดยค้นคว้าจากหลักฐานดั้งเดิมที่เหลือทั้งของไทยและต่างชาติ มากำหนดเป็นผังขึ้นและหาหลักฐานจากภาพเขียน ไม้สลัก และโบราณวัตถุสมัยอยุธยาเป็นจุดเริ่มต้น ประกอบกับหลักฐานจากเอกสาร สอบค้นลักษณะภายในของพระมหาปราสาท พร้อมทั้งตรวจสอบหลักฐาน โดยเชื่อมั่นว่าใกล้เคียงกับความจริงแล้ว จึงหาลายประดับต่างๆ สมัยอยุธยาที่เหมาะสมกับโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของปราสาท ทั้งการประดับตกแต่งภายนอก เช่น โครงสร้างเครื่องยอดหลังคา ได้รูปแบบจากเครื่องยอดหลังคาของสังเค็ดไม้ในวิหารวัดพระพุทธชินราช พิษณุโลก หลังคาดีบุก ได้แบบจากหลังคาพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งเครื่องยอดทุกส่วนล้วนหุ้มด้วยดีบุกทั้งสิ้น ช่อฟ้า และ ใบระกา ได้แบบมาจากวัดโพธิ์ กรุงเทพฯ ทวยได้แบบมาจากวัดศาลาปูนอยุธยา ซุ้มประตูหน้าต่างบันแถลงและองค์มณฑป ได้แบบมาจากวัดเขาบันไดอิฐเพชรบุรี และวิหารหลวง วัดมหาธาตุ นครศรีธรรมราช สิงห์ ที่ประดับหน้าบันไดทางเข้าถ่ายแบบมาจากวัดธรรมิกราช อยุธยา เป็นต้น
เย็นๆๆๆๆแล้วฝนก็จะตกแล้วด้วย งั้นวันนี้เราขอเก็บภาพมาฝากกันเท่านี้ก่อนนะค่ะ
ถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากไปทุกๆจังหวัดในประเทศไทย ขอแนะนำ มาที่นี่เลยค่ะ sudsai คอนเฟริม์ว่า ครบทุกจังหวัดในที่เดียวแน่ๆ ค่ะ ปล.ทางที่ดีควรมาแต่เช้านะค่ะ เอาแบบว่าประตูเปิดก็เข้าเลย แบบนี้เราจะได้เที่ยวได้ครบนะค่ะ เที่ยวชมไม่ครบอย่ามาบ่นว่า sudsai ไม่เตือนนะจ๊ะ วิธีการเดินทางมาเมืองโบราณเพื่อคนที่มาไม่เป็นจ้า
เส้นทางไปเมืองโบราณ สมุทรปราการ
- รถยนต์ส่วนตัว :
ใช้เส้นทางด่วน ปลายทางที่สำโรง-สมุทรปราการ ถึงสามแยกสมุทรปราการ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขุมวิท (ไปทางบางปู) ประมาณ กม. 33 เมืองโบราณจะอยู่ทางซ้ายมือ - รถโดยสารสาธารณะ :
ใช้รถโดยสารปรับอากาศ สาย ปอ. 511 (สายใต้ใหม่-ปากน้ำ) ลงที่สุดทางแล้วต่อรถสองแถวสาย 36 ซึ่งจะวิ่งผ่านหน้าทางเข้าเมืองโบราณ
ติดต่อ-สอบถามได้ที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น